วันเสาร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2553

บายศรีอีสาน


ทำขวัญเด็กแรกเกิด เมื่อทารกเกิดใหม่ บิดามารดา บุพการีจะทำขวัญเป็นการต้อนรับแสดงความยินดี และทั้งปัดเป่ารังควาน เสนียดจัญไรต่าง ๆ มิให้มาแผ้วพาน มักจะกระทำหลังจากเกิดได้แล้ว ๓ วัน ดังคำกล่าวในพิธีว่า...สาม วันลูกผี สี่วันลูกคน...นอกจากนี้ยังมุ่งหวังที่จะให้ทารกน้อยเติบโตเร็ววัน ด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ กอปรด้วยคุณธรรมความดี มียศมีศักดิ์เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลสืบไป

ทำขวัญนาค ก่อนบวชพระมักจะมีการทำขวัญ และการกล่าวคำขวัญนาคนั้น มักจะเป็นการเตือนใจให้นาคมีจิตใจสงบมั่นคงที่จะอยู่ในพระพุทธศาสนา เพื่อบำเพ็ญกุศล เป็นกตเวทิคุณแก่บิดามารดาบุพการีที่ได้เลี้ยงดูมาจนย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ และเพื่อให้ลูกได้สำนึกในความสำคัญของตนเองต่อพ่อแม่ว่าลูกนั้นคือความหวังของพ่อแม่

สู่ขวัญกินดอง หมายถึง ทำขวัญตอนแต่งงาน เพื่อเป็นการรวมชีวิตจิตใจของบ่าว (หนุ่มผู้เป็นบ่าว) และสาว (เจ้าสาว) ให้เป็นบุคคลคนเดียวกัน ไม่ให้มีการแตกแยก หย่าร้างกัน ให้มีแต่ความสงบสุข ทรัพย์สินเพิ่มพูนทวี เป็นที่ปรากฎยศศักดิ์ ให้กำเนิดผู้สืบสกุลที่ดี เป็นที่ปรารถนาของชาติบ้านเมือง

ภายในขันบายศรีนั้นก็จะบรรจุสิ่งที่มีความหมายไปในทางดี

ข้าวเหนียว ให้เหนียวแน่น พ่อเฒ่า (พิธีกร มักจะเชิญชายชรามาเป็นผู้กล่าวคำเรียกขวัญและทำพิธีสู่ขวัญ) จะให้บ่าวสาวกินข้าวเหนียวกับไข่ต้ม (ไข่ขวัญ) คำเดียวกัน แบ่งออกเป็นสองส่วนแบ่งกันกิน ซึ่งหมายความถึงให้ทั้งสองช่วยกันทำมาหากิน ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ได้อย่างเรียบร้อย (เพราะการกลืนข้าวเหนียวกับไข่ต้มนั้นมิใช่ของง่าย) หลังจากนั้นก็จะให้ดื่มน้ำหรือเหล้าแก้วเดียวกัน

กล้วยสุกและข้าวต้ม เพื่อให้มีขนมและผลไม้รับประทานอุดมสมบูรณ์ด้ายผูกข้อมือ เพื่อผูกสติ ชีวิตจิตใจไว้กับตัวกับบ้าน ไม่หลงระเริงไปในทางผิด ผูกความดีไว้กับตัว ไล่ความชั่วให้ห่างไกลไปหมดสิ้น ดังคำกล่าวเมื่อเริ่มผูกข้อมือซึ่งผู้เฒ่าจะให้ถือกล้วย ข้าวต้มและเงินไว้ในกำมือ แล้วผู้เฒ่าก็จะประจงผูกปมที่ด้าย พร้อมตั้งจิตอธิษฐานแล้วนำด้ายนั้นมาทำท่าประกอบคำพูด “ฮ่ายกวาดหนี ดี๋กวาดเข่า ขวัญเจ้าให้มาโฮมเด้อ ให้มาเฮือนมาชาน อยู่บ้านอยู่ช่อง...” (ร้ายกวาดหนี ตีกวาดเข้า ขวัญเจ้าให้มารวม ให้มาอยู่บ้านอยู่ช่อง...) เมื่อกล่าวคำสั่งสอนและให้พรจนจบแล้ว จึงจะต่อย ๆ ผูกข้อมือจะจบพร้อม ๆ กับคำอวยพร

ดอกไม้-บายศรี ให้บ่าว-สาว มีชีวิตสดชื่นเหมือนดังดอกไม้ บายศรีซึ่งมีแต่ความสวยงามเป็นที่ชื่นใจแก่ผู้พบเห็น มีความรักที่ยั่งยืนมั่นคงต่อกันดังดอกรักและบานไม่รู้โรย และมั่งมีเงินทองโดยใส่ใบนาคใบเงินใบทองใบแก้วสารพัดนึก

หมากพลูยาเส้น เพื่อให้เป็นตัวอย่างว่าควรมีไว้ประจำบ้าน รับแขกที่มาบ้าน ซึ่งหมายถึงมีผู้นำโชคลาภมาให้ ถ้าเราจัดแต่งขันหมาก (หมากพลู) ไว้เสมอมิให้ขาด

บายศรีแต่งงาน ก็ต้องทำอย่างงดงามที่สุดคือ ตัวบายศรีจะมีตัวยอด และตัวรอง ๙ ชั้น ซึ่งหมายความถึงให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง มียศศักดิ์สูงส่งก้าวหน้า

ทำขวัญเลี้ยงส่ง ในโอกาสเลี้ยงส่งไม่ว่าจะย้ายที่อยู่ในกรณีใด ๆ เช่น ย้ายที่ทำงานเดินทางไปเรียนหนังสือในถิ่นแดนไกล หรือย้ายบ้านไปอยู่ต่างถิ่นต่างเมือง ชาวอีสานก็จะมีการทำบายศรีสู่ขวัญให้ไปกับตัว หมายถึงตัวอยู่ที่ไหนก็ให้มีสติ ไม่ลืมตัวนั่นเอง ซึ่งจะมีอยู่ในคำกล่าวสู่ขวัญและคำผูกข้อมือทำขวัญต้อนรับ เพื่อแสดงความยินดีต่อผู้มาสู่เหย้าสู่เรือนหรือข้าราชการที่มาประจำใหม่หรือย้ายมาจากที่อื่น หรือลูกกลับจากไปศึกษาหาความรู้จากเมืองไกล ชาวอีสานก็จะทำบายศรีสู่ขวัญหรือรับขวัญเพื่อเป็นการเรียกให้ขวัญ หรือสติ ชีวิต จิตใจ ที่ไปท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ ให้กลับมาอยู่กับตัวไม่ให้ไปที่อื่น ซึ่งก็มีอยู่พร้อมในคำกล่าวเรียกขวัญ และเมื่อถึงบทเรียกขวัญทุกคนที่อยู่ในพิธีจะเปล่งเสียงเรียกขวัญพร้อม ๆ กันว่า ...”มาเย้อ...มาเด้อขวัญเอย...มาแล้ว...มาแล้ว...”

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บายศรี


"ขวัญเจ้าเอย ขวัญเอย มาสู่องค์เอย” วลีนี้คัดจากบทประพันธ์ของ ฯพณฯ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นต้นเนื้อเพลงร้องพิธีทำขวัญ เชิญขวัญ เรียกขวัญ สู่ขวัญ คนไทยเชื่อเรื่องขวัญว่ามีอยู่ในตัวคนทุก ๆ คน ตั้งแต่เกิดจนตาย หมายถึงพลังใจและชีวิตจิตใจ ไม่มีขวัญอาจกล่าวได้ว่าผู้นั้นมีชีวิตอยู่อย่างไม่สมบูรณ์นัก เพราะตามโบราณประเพณีแล้วตั้งแต่เกิดมีการรับขวัญเด็กเมื่อเกิดได้ ๓-๔ วัน ทำขวัญเดือน ทำขวัญตอนโกนจุก เด็กพลัดตกหกล้มก็มีการเรียกขวัญ ทำขวัญตอนบวชนาค เป็นต้น

การเรียกขวัญจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขวัญอยู่กับตัวใครก็จะทำให้ผู้นั้นเป็นสุข ถ้าขวัญหายขวัญหนีออกจากตัวก็จะทำให้เกิดความเดือดร้อนขึ้น ท่านคงเคยได้ยินท่านผู้ใหญ่กล่าวว่า พลัดตกหกล้มหรือเกิดความตกใจอย่างมาก โบราณจึงหาวิธีให้ขวัญอยู่กับตัวหลายแบบหลายอย่างต่างกันออกไปตั้งแต่พิธีเล็ก ๆ ในครอบครัว กระทั่งถึงพิธีใหญ่เชิญญาติมิตรมาร่วมทำพิธีเชิญขวัญ มีการเวียนเทียน พิธีนี้ก็ได้แก่พิธีทำขวัญนาค เป็นพิธีที่ใช้หรือพบเห็นมาก เป็นพิธีที่ทำให้ผู้รับขวัญและผู้พบเห็นเกิดสวัสดิมงคลแก่ตัว

ในพิธีทำขวัญนี้สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือบายศรี บาย แปลว่า ข้าว ศรี แปลว่า มิ่งขวัญ รวมเรียกว่า ข้าวขวัญ ใช้ในพิธีสมโภชน์ สังเวยเทวดา ไหว้ครู บวชนาค รับแขกบ้านแขกเมือง รับขวัญทหาร รับขวัญคนป่วยหรือคนที่จะจากกันไป หรือรับขวัญผู้มาอยู่ใหม่อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่าบายศรี คือภาชนะใส่อาหารนั่นเอง นับว่าเป็นภาชนะที่สะอาดที่บริสุทธิ์ ด้วยเหตุที่ว่าไม่การใช้ต่อจากกัน พอใช้เสร็จแล้วจะนำไปทิ้งเลยทีเดียว จากหนังสือการศึกษาศิลปะและประเพณีของเสฐียรโกเศศ ได้กล่าวไว้ว่า บายศรีสมมติเป็นขาไกรลาส ไม้ไผ่ ๓๐ อันขนาบข้างเป็นบันไดขึ้น พุ่มดอกไม้ยอดบายศรีสมมติเป็นวิมานพระอิศวร ตัวแมงดา ๓ ตัวก็เหมือนเต่า ๓ ตัว ที่จมอยู่ในก้นมหาสมุทรอันลึก คือ อวิชา ขนมที่อยู่ในบายศรีรับประทานแล้วเกิดรสอร่อย คือ รสแห่งพระรัตนตรัย